ช่วงฤดูฝนควรระวัง 4 โรคเรื้อรัง
ในฤดูฝนอุณหภูมิจะลดต่ำลง อากาศมีความชื้นมากขึ้น
ส่งผลให้เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะ
โรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจที่ระบาดถึงกันได้ง่าย
การรู้เท่าทันโรคและดูแลตัวเองให้แข็งแรง
ย่อมช่วยให้ห่างไกลจากความเจ็บป่วยในหน้าฝน
4 โรคเรื้อรังที่พบบ่อยและควรระวังในช่วงฤดูฝน
ได้แก่
1) ไข้หวัด (Common Cold)
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น Rhinovirus
(ไรโนไวรัส)
การติดต่อ : สามารถติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อไวรัส
เข้าไปในร่างกายหรือผ่านทางการไอจามใส่กัน
อาการ : เมื่อได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปประมาณ 1 – 3 วัน
จะมีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูก ไข้ต่ำ ๆ และมีอาการ
ไอตามมาได้
การดูแลรักษา : ไข้หวัดจะรักษาตามอาการ ควรดื่มน้ำ
อุ่นบ่อย ๆ หากมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไอ
เสมหะเพิ่มขึ้น หอบเหนื่อย หรือรับประทานอาหาร
ได้น้อยลงควรต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที
การป้องกัน : ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัย
หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้มีอาการไข้หวัด
2) ไข้หวัดใหญ่ (Seasonal Influenza)
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
Influenza Virus
การติดต่อ : เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่อยู่ในน้ำมูก
และเสมหะของผู้ป่วยจึงติดต่อได้ระหว่างผู้ใกล้ชิด
ที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หากไอหรือจาม
สามารถติดต่อผ่านการหายใจเข้าไปได้ โดยมัก
จะมีอาการหลังจากที่ได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1 – 3 วัน
อาการ : มีไข้สูง 38 – 39 องศาเซลเซียส
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ
เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูกร่วมด้วยได้
การดูแลรักษา : รับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอล
และไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและทำการรักษาโดยเร็ว
เนื่องจากไข้หวัดใหญ่เมื่อเป็นแล้วมีความเสี่ยง
ในการเกิดปอดอักเสบได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มี
ความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ และหญิงตั้งครรภ์
การป้องกัน : การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก
อายุ 6 เดือน – 5 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน
3) ไข้เลือดออก (Dengue Fever)
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี
(Dengue Virus)
การติดต่อ : จากการถูกยุงลายบ้าน (Aedes Egypti)
ที่เป็นพาหะนำโรค ซึ่งยุงมีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่กัด
ยุงชนิดนี้มักอยู่ในภาชนะที่มีน้ำขังและกัดตอนกลางวัน
โดยเชื้อเข้าสู่ร่างกายและทำให้มีอาการได้ประมาณ 2 – 7 วัน
อาการ : มีไข้สูง 38 – 39 องศาเซลเซียส
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน ในบางรายอาจมีจุดเลือดออกตามตัวได้
การดูแลรักษา : ทานยาลดไข้กุลุ่มพาราเซตามอล
งดทานยาแอสไพริน ยาลดไข้สูงแก้อักเสบกลุ่ม
NSAIDs เช่น ibuprofen (ไอบูโพรเฟน)
และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว
การป้องกัน : หลีกเลี่ยงและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
โดยเฉพาะภาชนะที่มีน้ำขัง แนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้ที่มี
อายุ 9 – 45 ปีที่เคยมีอาการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาแล้ว
และในผู้ที่ไม่เคยเป็นไข้เลือดออกปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้
4) ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อ
ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยส่วนใหญ่พบบ่อย
ในเด็กอายุ 2 ขวบหรือวัยอนุบาล
การติดต่อ : การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น
น้ำมูก เสมหะของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส RSV การหายใจ
เอาเชื้อไวรัสเข้าไปในทางเดินหายใจผ่านการไอหรือจาม
อาการ : ระยะฟักตัวประมาณ 3 – 5 วันหลังจาก
ได้รับเชื้อ ในเด็กเล็กจะมีอาการไข้ ไอ เสมหะ น้ำมูก
หากเป็นรุนแรงจะไอ มีเสมหะ เหนื่อย จนเกิด
ปอดอักเสบได้
การดูแลรักษา : รับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอล
เช็ดตัวลดไข้ หากไม่ดีขึ้นควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ
วินิจฉัยและรักษา โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น
ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
โรคไตเรื้อรัง หรือเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ
มีโอกาสป่วยรุนแรงได้
การป้องกัน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในเด็กเล็ก
หากมีอาการไข้ควรงดไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยง
เด็กเล็กจนกว่าจะหายดีเพื่อป้องกันโรค
แบบไหนเรียกป่วยเรื้อรัง
อาการที่บ่งบอกว่ากำลังเจ็บป่วยเรื้อรัง ได้แก่
ไอติดต่อกัน 3 สัปดาห์ขึ้นไป หลังเจ็บป่วยจากโรคไข้หวัด
ไข้หวัดใหญ่ มีโอกาสเกิดภาวะหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
หรือภาวะ Bronchial Hyperresponsiveness (BHR)
คือภาวะที่หลอดลมถูกกระตุ้นได้ง่ายหลังจากมีการ
ติดเชื้อไวรัส ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรังได้นาน
ตั้งแต่ 3 – 4 สัปดาห์ขึ้นไป
เมื่อไรควรมาพบแพทย์ อาการที่ต้องสังเกตอย่างใกล้ชิดและ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที ได้แก่
- ไข้สูงลอย เช่น 39 องศาเซลเซียส รับประทานทานยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น
- ไอมีเสมหะจนเหนื่อยหอบ
- วัดออกซิเจนปลายนิ้วได้น้อยกว่า 95%
- ไอเรื้อรังตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป
- ดูแลป้องกันโรคหน้าฝน
- รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่สะอาด
- สวมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอทุกวัน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- พักผ่อนอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง
- เลี่ยงการโดนฝนหรือลุยน้ำท่วม
- ถ้าโดนฝนถึงบ้านต้องรีบอาบน้ำสระผมทันที
- ระวังไม่ให้ยุงกัด เลี่ยงพื้นที่อับชื้นหรือมีน้ำขัง
- ล้างมือให้บ่อยช่วยลดการติดเชื้อ